Arizer Solo III vs Solo III V2.0 – อัปเกรดใหม่ คุ้มไหม? รุ่นไหนเหมาะกับคุณ?

Arizer Solo III vs Solo III V2.0 – อัปเกรดใหม่ คุ้มไหม? รุ่นไหนเหมาะกับคุณ?

ถ้าคุณกำลังมองหาเครื่องอบสมุนไพรแบบพกพาคุณภาพสูง Arizer Solo III คือตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมในตลาด และตอนนี้ก็มีรุ่นใหม่ Arizer Solo III V2.0 ที่อัปเกรดฟีเจอร์ให้ใช้งานสะดวกขึ้น โดยยังคงจุดแข็งเดิมเอาไว้ครบถ้วน

บทความนี้จะพาคุณ:

  • เปรียบเทียบ Solo III รุ่นเดิม vs V2.0 แบบชัดเจน
  • เจาะลึกฟีเจอร์ใหม่ทั้งหมดของ Solo III V2.0
  • แนะนำว่ารุ่นไหนเหมาะกับคุณที่สุด

เปรียบเทียบ Solo III กับ Solo III V2.0 แบบชัด ๆ

คุณสมบัติSolo III รุ่นเดิมSolo III V2.0
พอร์ตชาร์จหัวเฉพาะของ ArizerUSB-C PD (ชาร์จเร็ว)
ล็อกหน้าจอปิดไม่ได้ปิดได้จากเมนู
โปรไฟล์ On-Demand5 แบบ3 แบบ (ใช้ง่ายกว่า)
หน้าจอดำ-ขาวขาว-เขียว อ่านง่าย
Residual Heat Meterไม่มีมี แสดงความร้อนที่ค้าง
รองรับ water pipeได้ได้ + หน้าจอกลับอัตโนมัติ
เวลาการใช้งานแบตฯ~120 นาทีสูงสุด ~180 นาที
ความคุ้มค่า✅ ราคาดี✅ ความสะดวกจัดเต็ม

ดีไซน์ใหม่ สี Sea of Green – สวย เด่น ใช้งานง่ายขึ้น

Solo 3 V2.0 มาพร้อมสีใหม่ “Sea of Green” ให้ความรู้สึกทันสมัยและอ่านค่าหน้าจอได้ง่ายกว่าสี Intergalactic รุ่นเดิม พร้อมเปลี่ยนพื้นหลังหน้าจอเป็นขาว-เขียว ทำให้ดูสะอาดตาขึ้นอย่างชัดเจน

Arizer Solo III V2.0 Sea of Green

USB-C PD ชาร์จเร็ว + ใช้งานระหว่างชาร์จได้

การเปลี่ยนเป็นพอร์ต USB-C PD ช่วยให้ใช้งานสะดวกกว่าเดิมมาก สามารถใช้ที่ชาร์จทั่วไปหรือ power bank ได้ และยังรองรับ pass-through charging คือ ชาร์จไป ใช้งานไปได้ทันที

ระบบทำความร้อนทันใจ พร้อมเลือกโหมดใช้งานได้

Solo III V2.0 รองรับทั้งโหมด:

  • Session Mode – อบยาวแบบต่อเนื่อง
  • On-Demand Mode – ใช้เฉพาะจังหวะที่ต้องการ

อุ่นเครื่องเร็วเพียง 5 วินาที ไอก็เริ่มออกทันที

ฟีเจอร์ใหม่ที่เน้น “ใช้งานจริง”

  • เปิด/ปิด Lock Screen ได้ตามต้องการ
  • หน้าจอกลับอัตโนมัติเมื่อเสียบกับ water pipe
  • ปรับเวลา session ได้ทันที (5, 10 หรือ 15 นาที)
  • มี Residual Heat Meter บอกความร้อนที่ค้างในเตา

อินเทอร์เฟซปรับใหม่ ใช้ง่ายขึ้น

เมนูปรับปรุงใหม่ ใช้งานง่าย ลดการกดหลายครั้ง พร้อมพรีเซ็ตได้ 3 แบบ แยกตามโหมด:

  • Session Mode: ตั้งอุณหภูมิ
  • On-Demand Mode: ตั้งอุณหภูมิ + เวลา

คุณภาพไอระดับพรีเมียม – กลิ่นชัด ไอหนา

  • ระบบ glass pod เหมือนเดิม สมุนไพรไม่สัมผัสโลหะ
  • ให้ไอสะอาด รสชาติชัดเจน ไม่ไหม้
  • เตาออกแบบใหม่: ร้อนเร็ว ไหลแรง ใช้กับท่อน้ำได้สบาย

แนะนำ: ใช้กับ water pipe ที่อุณหภูมิ 410°F ขึ้นไป เพื่อไอที่แน่นและยังได้รสครบ

อุปกรณ์เสริมในกล่อง – ครบพร้อมใช้งาน

  • หลอดแก้วขนาดปกติ + ขนาด XL
  • ข้อต่อ water pipe หลากขนาด
  • แปรงทำความสะอาด, สายชาร์จ และอุปกรณ์พื้นฐานครบชุด

สรุป: Arizer Solo III V2.0 – อัปเกรดเล็ก ๆ ที่เปลี่ยนประสบการณ์ใหญ่

ถ้าคุณใช้ Solo III รุ่นเดิมอยู่ แล้วอยากได้ความสะดวกเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องเปลี่ยนวิธีใช้งานเดิม V2.0 คือคำตอบ

และถ้าคุณกำลังมองหาเครื่องอบระดับพรีเมียม ใช้งานง่าย ไอรสดี และคุ้มค่าในระยะยาว Arizer Solo III V2.0 ก็ตอบโจทย์ครบถ้วน

พร้อมวางจำหน่ายแล้วที่
www.kondee420.com

รวมเครื่องอบสมุนไพร งบไม่เกิน 5 พัน

รวมเครื่องอบสมุนไพร งบไม่เกิน 5 พัน

5 เครื่องอบสมุนไพรในงบไม่เกิน 5,000 บาท

หากคุณกำลังมองหา เครื่องอบสมุนไพร ที่มีราคาคุ้มค่าและใช้งานได้ดี ในงบ ไม่เกิน 5,000 บาท บทความนี้จะแนะนำ 5 รุ่นยอดนิยม ที่ให้ทั้งคุณภาพ ความทนทาน และฟังก์ชันที่เหมาะกับการใช้งานจริง โดยแต่ละรุ่นจะมีจุดเด่น ระบบทำความร้อน และปริมาณสมุนไพรที่รองรับแตกต่างกัน 

เพื่อช่วยให้คุณเลือกเครื่องที่เหมาะกับสไตล์การใช้งานของตัวเอง มาดูรายละเอียดของแต่ละรุ่นกันเลย!


 

1. XMAX V3 Pro

  • ระบบทำความร้อน: Convection (พาความร้อน)
  • ปริมาณสมุนไพรที่ใส่ได้ต่อครั้ง: ประมาณ 0.15 กรัม
  • ราคา: 2,890 บาท (จากราคาปกติ 3,990 บาท)
  • จุดเด่น:
    ✅ สามารถปรับอุณหภูมิได้ตั้งแต่ 100°C ถึง 220°C
    ✅ มีโหมดการใช้งานทั้งแบบ Session Mode และ On-Demand Mode
    ✅ แบตเตอรี่แบบถอดเปลี่ยนได้ ความจุ 2,600 mAh

🔹 เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการเครื่องอบสมุนไพรที่ให้รสชาติชัดเจนและสามารถปรับอุณหภูมิได้ละเอียด ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ XMAX V3 Pro (CLICK)

2. XMAX Starry 4

  • ระบบทำความร้อน: Conduction (นำความร้อน)
  • ปริมาณสมุนไพรที่ใส่ได้ต่อครั้ง: ประมาณ 0.2 กรัม
  • ราคา: 3,150 – 3,490 บาท
  • จุดเด่น:
    ทำความร้อนได้ไว พร้อมใช้งานในไม่กี่วินาที
    ✅ ดีไซน์กะทัดรัด พกพาสะดวก
    ✅ ปากสูบทำจาก เซรามิกเซอร์โคเนีย ทนทานและให้รสชาติที่ดี
    ✅ แบตเตอรี่ความจุ 2,500 mAh

🔹 เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการเครื่องอบสมุนไพรที่ คุ้มค่า ใช้งานง่าย ทำความร้อนได้ไว และทนทาน ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ XMAX Starry 4 (CLICK) 

3. XMAX V3 NANO

    • ระบบทำความร้อน: Hybrid (ผสมผสานระหว่าง Conduction และ Convection)
    • ปริมาณสมุนไพรที่ใส่ได้ต่อครั้ง: ประมาณ 0.15 กรัม
    • ราคา: 1,790 บาท (จากราคาปกติ 1,990 บาท)
    • จุดเด่น:
      ✅ ขนาดเล็ก พกพาสะดวก
      ✅ ปากสูบแบบแก้ว ช่วยเพิ่มรสชาติและกลิ่นที่ดี
      ✅ ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับมือใหม่

    🔹 เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการเครื่องอบสมุนไพรขนาดเล็ก ราคาย่อมเยา และใช้งานสะดวก ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ XMAX V3 NANO

4. G-PEN DASH

  • ระบบทำความร้อน: Conduction (นำความร้อน)
  • ปริมาณสมุนไพรที่ใส่ได้ต่อครั้ง: ประมาณ 0.25 กรัม
  • ราคา: 2890-2,990 บาท
  • จุดเด่น:
    ✅ ขนาดเล็ก ดีไซน์มินิมอล
    ✅ ปรับไฟได้ 3 ระดับ พร้อมแสงไฟแสดงสถานะที่ สีสันสวยงาม
    ✅ ราคาย่อมเยา เหมาะสำหรับ ผู้เริ่มต้น

🔹 เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการเครื่องอบขนาดเล็ก ปรับไฟได้ สีสันสวยงาม และราคาย่อมเยา ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ G-PEN DASH

5. PAX Mini

  • ระบบทำความร้อน: Conduction (นำความร้อน)
  • ปริมาณสมุนไพรที่ใส่ได้ต่อครั้ง: ประมาณ 0.25 กรัม
  • ราคา: 4,900 บาท (จากราคาปกติ 5,900 บาท)
  • จุดเด่น:
    ✅ ดีไซน์หรูหรา เรียบง่ายและพรีเมียม
    ✅ ใช้งานง่ายด้วย ปุ่มเดียว
    ✅ ขนาดเล็ก พกพาสะดวก

🔹 เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการเครื่องอบสมุนไพรที่ มีดีไซน์สวยงาม พรีเมียม และใช้งานง่าย ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ PAX MINI

สรุป: เลือกเครื่องอบสมุนไพรให้เหมาะกับคุณ

XMAX V3 Proเหมาะกับผู้ที่ต้องการรสชาติที่ชัดเจน และปรับอุณหภูมิได้ละเอียด


XMAX Starry 4เหมาะกับผู้ที่ต้องการเครื่องที่พกพาสะดวก ใช้งานง่าย ทำความร้อนได้ไว


XMAX V3 Nanoเหมาะกับผู้ที่ต้องการเครื่องขนาดเล็ก ราคาดี และใช้งานง่าย


G-Pen Dashเหมาะกับผู้ที่ต้องการเครื่องอบขนาดเล็ก ปรับไฟได้ สีสันสวยงาม และราคาย่อมเยา


PAX Miniเหมาะกับผู้ที่ให้ความสำคัญกับดีไซน์ และต้องการเครื่องที่ใช้งานง่าย

🔥 เครื่องอบสมุนไพรเหล่านี้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในงบไม่เกิน 5,000 บาท ไม่ว่าคุณจะเน้นเรื่อง รสชาติ, ขนาด, ราคา หรือดีไซน์ ก็สามารถเลือกเครื่องที่เหมาะกับสไตล์การใช้งานของคุณได้

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น! 🚀

เราควรใช้อุณหภูมิเท่าไหร่กับกัญชา

เราควรใช้อุณหภูมิเท่าไหร่กับกัญชา

ทำความรู้จักสารแคนนาบินอยด์และเทอร์พีน พร้อมอุณหภูมิเดือดที่เหมาะสม

การใช้กัญชาเพื่อการบริโภคผ่านเครื่องอบ (Vaporizer) หรือวิธีอื่น ๆ จำเป็นต้องเข้าใจว่าแต่ละสารในกัญชามีอุณหภูมิเดือดแตกต่างกัน การตั้งค่าอุณหภูมิที่เหมาะสมจะช่วยดึงเอาสารสำคัญออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด โดยเฉพาะ แคนนาบินอยด์ (Cannabinoids) และ เทอร์พีน (Terpenes) ซึ่งเป็นสารหลักที่มีผลต่อกลิ่น รสชาติ และฤทธิ์ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย


1. Terpenes (เทอร์พีน) – สารที่ให้กลิ่นและรสชาติ

เทอร์พีนเป็นสารที่พบได้ในพืชหลายชนิด รวมถึงกัญชา ซึ่งเป็นตัวกำหนดกลิ่นและรสชาติของแต่ละสายพันธุ์ นอกจากนี้ยังมีผลต่อฤทธิ์ทางชีวภาพ เช่น ลดความเครียด บรรเทาปวด หรือช่วยให้รู้สึกตื่นตัว

ชื่อเทอร์พีน อุณหภูมิเดือด คุณสมบัติและผลต่อร่างกาย
Humelene 107°C / 225°F ลดการอักเสบ มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย อาจช่วยระงับความอยากอาหาร
Caryophyllene 155°C / 266°F มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ลดความเครียด และอาจช่วยบรรเทาอาการปวด
Pinene 168°C / 311°F กลิ่นสดชื่นแบบสน มีฤทธิ์ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง เพิ่มความตื่นตัวและช่วยเรื่องความจำ
Myrcene 176°C / 334°F ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย มีฤทธิ์กล่อมประสาทและช่วยให้นอนหลับสบาย
D-Limonene 176°C / 349°F ให้กลิ่นส้ม ช่วยลดความเครียด เพิ่มพลังงาน และอาจช่วยต้านมะเร็ง
Eucalyptol 199°C / 349°F มีฤทธิ์เย็นแบบยูคาลิปตัส ต้านการอักเสบ ต้านจุลชีพ และช่วยบรรเทาอาการหายใจติดขัด
Linalool 130°C / 390°F ให้กลิ่นดอกไม้ มีฤทธิ์สงบประสาท ช่วยคลายเครียด และทำให้หลับง่ายขึ้น
Terpineol 219°C / 426°F ให้กลิ่นหอมแบบชา มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยผ่อนคลายและทำให้รู้สึกสงบ

2. Cannabinoids (แคนนาบินอยด์) – สารออกฤทธิ์หลักของกัญชา

แคนนาบินอยด์เป็นสารที่มีผลต่อระบบเอ็นโดแคนนาบินอยด์ (Endocannabinoid System) ในร่างกาย ซึ่งส่งผลต่ออารมณ์ ความรู้สึกปวด และระบบประสาท

ชื่อแคนนาบินอยด์ อุณหภูมิเดือด คุณสมบัติและผลต่อร่างกาย
Δ-9-THC 157°C / 315°F เป็นสารหลักที่ทำให้รู้สึกมึนเมา ช่วยบรรเทาอาการปวด กระตุ้นความอยากอาหาร และลดอาการคลื่นไส้
Δ-8-THC 178°C / 352°F ออกฤทธิ์อ่อนกว่าคล้าย Δ-9-THC แต่ให้ความรู้สึกสงบมากกว่า
CBD 180°C / 356°F ไม่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ช่วยลดความเครียด บรรเทาอาการอักเสบ และช่วยเรื่องการนอนหลับ
CBN 185°C / 365°F ทำให้รู้สึกง่วงนอน ช่วยให้หลับลึก และช่วยลดอาการปวด
CBC 220°C / 428°F มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรีย และช่วยกระตุ้นเซลล์สมอง
THCV 220°C / 428°F ช่วยระงับความอยากอาหาร เพิ่มความตื่นตัว และอาจช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

การตั้งค่าอุณหภูมิในการใช้เครื่องอบ

การตั้งอุณหภูมิที่เหมาะสมช่วยให้ได้รับสารออกฤทธิ์ที่ต้องการมากที่สุด

  • อุณหภูมิต่ำ (130-160°C) – ดึงเทอร์พีนที่ช่วยให้รู้สึกตื่นตัวและเพิ่มกลิ่นรสชาติ

  • อุณหภูมิปานกลาง (160-190°C) – ดึงแคนนาบินอยด์สำคัญอย่าง THC และ CBD ออกมาได้ดี

  • อุณหภูมิสูง (190-220°C) – สารออกฤทธิ์ส่วนใหญ่จะถูกปล่อยออกมาเต็มที่ แต่รสชาติอาจเปลี่ยนไป


สรุป

การทำความเข้าใจอุณหภูมิเดือดของแคนนาบินอยด์และเทอร์พีนช่วยให้สามารถเลือกใช้อุณหภูมิที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้ เช่น ต้องการผ่อนคลาย หลับสบาย หรือเพิ่มพลังงาน การตั้งค่าที่ถูกต้องในการใช้เครื่องอบไอจะช่วยให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากกัญชาอย่างมีประสิทธิภาพ

TIODW แต่ละแบบมีอะไรบ้าง ?

TIODW แต่ละแบบมีอะไรบ้าง ?

หากคุณกำลังมองหา Desktop Vaporizer คุณภาพเยี่ยมที่ใช้งานง่ายและตอบโจทย์ทุกความต้องการ ร้าน Kondee420 ขอแนะนำ Tiodw V3 และ Tiodw Pro สองรุ่นเด่นที่เหมาะสำหรับทุกไลฟ์สไตล์และการใช้งาน ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นหรือเป็นผู้ใช้งานที่มีประสบการณ์


Tiodw V3: Vaporizer

Tiodw V3 ถูกออกแบบมาให้เลือกวัสดุได้ตามความต้องการ ทั้งเซรามิกและไทเทเนียม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานและรองรับรสนิยมที่แตกต่าง

วัสดุที่เลือกได้

  • เซรามิก: มอบรสชาติที่บริสุทธิ์และคงความเป็นธรรมชาติของสมุนไพร เหมาะสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพของรสชาติ
  • ไทเทเนียม: แข็งแรง ทนทาน และน้ำหนักเบา เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกในการพกพาและใช้งานหนัก

จุดเด่นของ Tiodw V3

  • กระจายความร้อนได้สม่ำเสมอ เพิ่มประสิทธิภาพในการระเหยสมุนไพร
  • วัสดุและดีไซน์ที่หลากหลาย รองรับทั้งการใช้งานในบ้านและการพกพา
  • รองรับการใช้งานทั้งสมุนไพรแห้งและ Concentrates (ตัว Titanium)
  • ใช้งานร่วมกับขดลวดขนาด 20 มม. เพื่อความแม่นยำและประสิทธิภาพ

    เปรียบเทียบวัสดุใน Tiodw V3

    คุณสมบัติ เซรามิก ไทเทเนียม
    วัสดุ (Material) รักษารสชาติบริสุทธิ์และธรรมชาติ แข็งแรง ทนทาน น้ำหนักเบา
    ดีไซน์ (Design) เรียบง่าย คลาสสิก ทันสมัย หรูหรา
    การกระจายความร้อน สม่ำเสมอและควบคุมได้ดี รวดเร็วและป้องกันการสูญเสียความร้อน
    การใช้งาน (Use Case) เหมาะสำหรับการใช้งานในบ้าน พกพาและใช้งานในหลากหลายสถานการณ์
    ความคุ้มค่า (Value) ราคาเข้าถึงง่าย คุ้มค่าสำหรับการใช้งานระยะยาว

    สรุป: หากคุณให้ความสำคัญกับรสชาติและความบริสุทธิ์ เซรามิกคือคำตอบที่เหมาะสม แต่หากคุณมองหาความทนทานและความสะดวกในการพกพา ไทเทเนียมคือตัวเลือกที่ดีที่สุด


     

Tiodw Pro: Vaporizer ไร้สายสำหรับการใช้งานที่สะดวกสบาย

หากคุณต้องการเครื่องอบสมุนไพรที่พกพาสะดวกและไม่มีสายเกะกะ Tiodw Pro คือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด ด้วยการออกแบบที่ทันสมัยและใช้งานง่าย

คุณสมบัติและการใช้งาน

  • วัสดุ: หัวอบทำจากไทเทเนียม แข็งแรงและน้ำหนักเบา เหมาะสำหรับการใช้งานในทุกสถานการณ์
  • ระบบการทำงาน: รองรับขดลวดขนาด 25 มม. สำหรับการกระจายความร้อนที่รวดเร็ว
  • จุดเด่น:
    • ใช้งานแบบไร้สาย ไม่ต้องกังวลเรื่องสายไฟ
    • รองรับการใช้งาน Concentrates พร้อมอุปกรณ์เสริม
  • ข้อควรสังเกต: อุณหภูมิอาจเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเมื่อใช้งานในสภาพอากาศเย็นหรือลมแรง

 

ตัวเลือกห้องอบสมุนไพร

ห้องอบแบบไทเทเนียม

• คุณสมบัติ: แข็งแรง ทนทานต่อการใช้งานในระยะยาว

• ข้อดี: รักษาความร้อนได้ดี

ห้องอบแบบแก้ว

• คุณสมบัติ: โปร่งใส มองเห็นสมุนไพรภายในได้ชัดเจน

• ข้อดี: เน้นกลิ่นที่บริสุทธิ์และไม่มีสิ่งเจือปน


สรุปภาพรวม

หากคุณกำลังมองหาเครื่องอบสมุนไพรคุณภาพดี ร้าน Kondee420 มีตัวเลือกที่เหมาะกับทุกความต้องการ Tiodw V3 มาพร้อมตัวเลือกวัสดุที่หลากหลายทั้งเซรามิกและไทเทเนียม เพื่อประสบการณ์ที่ตรงใจที่สุด ไม่ว่าจะเน้นรสชาติบริสุทธิ์หรือการใช้งานที่ทนทาน ในขณะที่ Tiodw Pro เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาความสะดวกและคล่องตัวในการใช้งานแบบไร้สาย

เครื่องอบทั้งสองรุ่นนี้ไม่เพียงตอบโจทย์ด้านฟังก์ชัน แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานสมุนไพรและ Concentrates อย่างเต็มที่ สนใจข้อมูลเพิ่มเติมหรือสั่งซื้อได้ที่ Kondee420

คลิปรีวิว: ติดตามเร็ว ๆ นี้ในช่อง YouTube ของเรา พร้อมคำแนะนำและการใช้งานจริง!

Cloud V Haze กับ XMAX V3 Nano ต่างกันยังไง ?

Cloud V Haze กับ XMAX V3 Nano ต่างกันยังไง ?

เปรียบเทียบเครื่องอบพกพา: Cloud V Haze และ XMAX V3 Nano

หากคุณกำลังมองหาเครื่องอบพกพาราคาต่ำกว่า 2,000 บาทที่ใช้งานง่ายและคุ้มค่า สองตัวเลือกยอดฮิตที่ไม่ควรพลาดคือ Cloud V Haze และ XMAX V3 Nano ทั้งสองรุ่นตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่างกันและมีจุดเด่นเฉพาะตัว ดังนี้:

คุณสมบัติ Cloud V Haze XMAX V3 Nano
การออกแบบ ขนาดเล็ก (สูง 10 ซม. กว้าง 3 ซม. หนา 2 ซม.) น้ำหนักเบา พกพาสะดวก ดีไซน์เรียบง่าย ทันสมัย ทรงกระบอก (สูง 11 ซม. เส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5 ซม.) แข็งแรง ทนทาน พกพาง่าย เหมาะกับการใช้งานหลากหลาย
ระบบทำความร้อน ระบบ Conduction ร้อนเร็ว เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น รองรับการใช้งานกับ Concentrates ระบบ Hybrid ผสมผสานระหว่าง Conduction และ Convection ให้ไอระเหยที่นุ่มและกระจายความร้อนได้ทั่วถึง
แบตเตอรี่/การชาร์จ แบตเตอรี่ใช้งานได้ประมาณ 1 ชั่วโมง ชาร์จผ่าน USB แบตเตอรี่ใช้งานได้ประมาณ 1.5 ชั่วโมง ชาร์จเร็วด้วย USB-C ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการชาร์จเต็ม
คุณภาพไอระเหย ไอระเหยหนาแน่น ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับการสูบแบบดั้งเดิม เหมาะกับผู้ที่เพิ่งเริ่มใช้งาน ไอระเหยมีความนุ่ม รสชาติชัดเจนกว่า เหมาะสำหรับผู้ที่เน้นรายละเอียดและคุณภาพในการใช้งาน
การใช้งาน ใช้งานง่าย เหมาะกับมือใหม่ ควบคุมไม่ซับซ้อน ใช้งานง่าย ระบบทำงานตอบสนองได้ดีควบคุมอุณหภูมิอัตโมมัติ

กลิ่นและประสบการณ์การใช้งาน

  • Cloud V Haze: กลิ่นที่ได้จะมีความหนาแน่นและให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับการเผาแบบดั้งเดิม เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นใช้งานหรือผู้ที่เปลี่ยนจากการสูบแบบเดิมมาสู่การใช้เครื่องอบ ประสบการณ์การใช้งานจะเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน

  • XMAX V3 Nano: ด้วยระบบ Hybrid ที่ผสมผสานการทำความร้อนแบบ Conduction และ Convection กลิ่นและรสชาติที่ได้จะนุ่มและละเอียดกว่า ทำให้การใช้งานสมุนไพรเป็นประสบการณ์ที่พรีเมียม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสรสชาติและคุณภาพที่ดีที่สุด

เลือกแบบไหนดี?

  • Cloud V Haze: ตัวเลือกที่ดีสำหรับมือใหม่ ด้วยราคาประหยัด พกพาง่าย และการใช้งานที่ไม่ซับซ้อน

  • XMAX V3 Nano: เหมาะสำหรับผู้ที่เน้นคุณภาพ รสชาติ และต้องการระบบทำความร้อนที่ล้ำสมัยพร้อมคุณภาพไอระเหยที่เหนือกว่า

สรุป

ทั้งสองรุ่นมีจุดเด่นที่ตอบโจทย์การใช้งานต่างกัน Cloud V Haze เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเรียบง่ายและราคาย่อมเยา ส่วน XMAX V3 Nano เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่เน้นคุณภาพไอระเหยและความทนทาน เลือกตามความต้องการของคุณเพื่อให้ได้เครื่องอบที่เหมาะสมที่สุด!