เครื่องอบสมุนไพรทางการแพทย์แตกต่างจากการบริโภคสมุนไพรทางอื่นยังไง ?

เครื่องอบสมุนไพรทางการแพทย์แตกต่างจากการบริโภคสมุนไพรทางอื่นยังไง ?

แนวคิดสำคัญเกี่ยวกับการใช้ดอกกัญชาทางการแพทย์ผ่านเครื่องอบ

อุตสาหกรรมกัญชาทางการแพทย์ในประเทศไทยได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่อนุญาตให้ใช้กัญชาทางการแพทย์ โดยมีการอนุมัติให้สั่งจ่ายกัญชาทางการแพทย์ตั้งแต่ปี 2562 และจำนวนผู้ป่วยที่สามารถเข้าถึงการรักษานี้ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลหลายแห่งในประเทศไทยได้เริ่มนำกัญชาทางการแพทย์เข้ามาใช้เพื่อรักษาโรคต่างๆ เช่น โรคลมชักในเด็กที่ดื้อยารักษา โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ รวมถึงการบรรเทาอาการปวดเรื้อรังที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาทั่วไป นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านคุณภาพชีวิต เช่น นอนไม่หลับและวิตกกังวล ยังได้รับประโยชน์จากการใช้กัญชาทางการแพทย์อีกด้วย ทำให้กัญชาทางการแพทย์กลายเป็นทางเลือกที่สำคัญในกระบวนการรักษาผู้ป่วยในประเทศ

ปัจจุบัน มีผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์หลากหลายประเภทที่แพทย์สามารถสั่งจ่ายได้ตามความเหมาะสมกับโรคและสภาพร่างกายของผู้ป่วย ผลิตภัณฑ์เหล่านี้รวมถึงน้ำมันกัญชา ชากัญชา และดอกกัญชาที่สามารถใช้กับเครื่องอบ โดยวิธีการอบและการชงชานับเป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

เนื้อหา

  • การใช้เครื่องอบเทียบกับชาดอกกัญชา – วิธีการใดที่เหมาะสมที่สุด?
  • ประเภทของเครื่องอบ
  • การทำงานของเครื่องอบ
  • การอบกัญชาดีกว่าการสูบหรือไม่?
  • ประเภทของอุปกรณ์และวิธีการใช้งาน

การใช้เครื่องอบเทียบกับชาดอกกัญชา – วิธีการใดที่เหมาะสมที่สุด?

การตัดสินใจเลือกระหว่างการอบหรือการชงชาดอกกัญชาเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาร่วมกับแพทย์ เนื่องจากมีข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่างวิธีการทั้งสอง เช่น การเริ่มต้นออกฤทธิ์ ระยะเวลาของผล การดูดซึม และประสิทธิภาพในการใช้ประโยชน์ของแคนนาบินอยด์

การทำงานของเครื่องอบ

เครื่องอบจะทำให้ดอกกัญชามีความร้อนถึงอุณหภูมิที่เหมาะสมเพื่อกระตุ้นและปล่อยสารแคนนาบินอยด์ สารที่ปล่อยออกมาจะสามารถถูกหายใจเข้าไปและมีผลทันทีภายในไม่กี่นาที เครื่องอบทางการแพทย์ที่ได้รับการอนุมัติจาก Storz & Bickel จะทำให้ดอกกัญชามีอุณหภูมิที่พอดี (โดยไม่ทำให้เกิดการเผาไหม้และผลพลอยได้ที่เป็นอันตราย) เพื่อให้ได้ผลสูงสุด

เมื่อใช้อุณหภูมิต่ำ ไอที่ได้จะมีแคนนาบินอยด์ในปริมาณต่ำ แต่จะมีเทอร์ปีนเป็นหลัก ซึ่งช่วยในการลดความเครียด ความวิตกกังวล และการนอนหลับ ขณะที่อุณหภูมิที่สูงขึ้น แคนนาบินอยด์ (THC และ CBD) จะเด่นชัดมากขึ้น ทำให้เกิดผลทางการแพทย์ที่ชัดเจนขึ้น

อุณหภูมิการอบของแคนนาบินอยด์หลัก
อุณหภูมิ (℃)
เตตร้าไฮโดรแคนนาบินอล (THC) 157
แคนนาบิดิออล (CBD) 180

การอบกัญชาดีกว่าการสูบหรือไม่?

การสูบกัญชาไม่ได้รับการสนับสนุน การอบกัญชาเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการบรรเทาอาการอย่างรวดเร็วในระยะสั้น แม้ว่าการศึกษาเกี่ยวกับการอบกัญชาจะมีจำนวนจำกัด แต่ผลการศึกษาเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการอบมีผลดีต่อสุขภาพมากกว่าการสูบ

การศึกษาชิ้นหนึ่งระบุว่าผู้ใช้กัญชาที่มีปัญหาทางเดินหายใจหลังการสูบ พบว่าอาการดีขึ้นภายในหนึ่งเดือนหลังจากเปลี่ยนมาใช้เครื่องอบ อีกการศึกษาทดสอบความแตกต่างของสารที่หายใจเข้าไประหว่างการอบและการสูบ พบว่าไอที่ได้จากเครื่องอบคุณภาพสูงมีสารที่เป็นประโยชน์ต่อการรักษามากกว่า ในขณะที่ควันจากการสูบกัญชามีสารพิษ โดยเฉพาะสารไพรีนและโพลีนิวเคลียร์อะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs)

นอกจากนี้ การอบยังมีประสิทธิภาพในการใช้กัญชามากขึ้น โดยการสูบจะทำให้สูญเสียสารประกอบทางการแพทย์ไปอย่างมาก ในขณะที่เครื่องอบคุณภาพสูงสามารถปลดปล่อยสารประกอบทางการแพทย์ได้มากกว่า 50% ของดอกกัญชา

ผู้ใช้ยังสามารถใช้ดอกกัญชาชุดเดิมในการอบหลายครั้งและปรับอุณหภูมิให้หลากหลายได้ตามความต้องการ

ประเภทของเครื่องอบ

เครื่องอบกัญชาทางการแพทย์เป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเฉพาะทางการแพทย์สำหรับการบริโภคดอกกัญชา การใช้เครื่องอบนี้เชื่อว่ามีความปลอดภัยและมีความรุนแรงต่อร่างกายน้อยกว่าการสูบกัญชา

เครื่องอบมีสองรูปแบบหลักที่ควรพิจารณา ได้แก่ แบบพกพาและแบบตั้งโต๊ะ (แบบอยู่กับที่) โดยเราแนะนำเครื่องอบทางการแพทย์ที่ถูกต้องตามกฎหมายสองรุ่น ได้แก่ Storz & Bickel Mighty Medic+ และ Volcano

เครื่องอบทั้งสองรุ่นนี้ใช้กระบวนการให้ความร้อนที่ผสมผสานวิธีการนำความร้อนและการพาความร้อน เพื่อให้เกิดการอบที่มีประสิทธิภาพตั้งแต่การใช้งานครั้งแรก อย่างไรก็ตาม Volcano ยังสามารถใช้ร่วมกับสารสกัดเหลวได้ด้วย

 

mighty

ขั้นตอนการใช้ดอกกัญชาทางการแพทย์กับเครื่องอบ

– เตรียมดอกกัญชา: บดดอกกัญชาให้มีความละเอียดสม่ำเสมอ เพื่อให้การอบมีประสิทธิภาพ
– บรรจุในเครื่องอบ:ใส่ดอกกัญชาที่บดแล้วลงในช่องบรรจุของเครื่องอบตามคำแนะนำ
– ตั้งอุณหภูมิ: ตั้งอุณหภูมิที่ต้องการ อุณหภูมิต่ำระหว่าง 160-180℃ จะปล่อยเทอร์ปีนออกมามากกว่าและแคนนาบินอยด์น้อย เหมาะสำหรับลดความเครียดหรือช่วยในการนอนหลับ ขณะที่อุณหภูมิสูงระหว่าง 180-220℃ จะปล่อย THC และ CBD ในปริมาณมากเพื่อให้เกิดผลการรักษาที่ชัดเจน
– การใช้งาน: เมื่อเครื่องอบถึงอุณหภูมิที่ตั้งไว้แล้ว ให้รับไอผ่านปากของเครื่อง เริ่มจากปริมาณน้อยและค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามความต้องการ
– การทำความสะอาดและบำรุงรักษา: ทำความสะอาดเครื่องอบเป็นประจำตามคำแนะนำของผู้ผลิตเพื่อให้เครื่องทำงานได้ดีและมีอายุการใช้งานยาวนาน

การทำความเข้าใจเรื่องการดูดซึมและผลกระทบของการอบเทียบกับวิธีอื่นๆ

การดูดซึมหมายถึงเปอร์เซ็นต์ของแคนนาบินอยด์ที่สามารถเข้าสู่ระบบหมุนเวียนโลหิตและทำให้เกิดผลการรักษา การอบให้การดูดซึมที่สูงกว่าวิธีการกินโดยตรง เมื่อกัญชาถูกอบ สารแคนนาบินอยด์จะถูกดูดซึมผ่านปอดอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดผลอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่นาที

การศึกษาในปี 2007 ที่เปรียบเทียบการสูบกัญชากับการอบโดยใช้ Volcano พบว่าการดูดซึมแคนนาบินอยด์ผ่านการอบโดยใช้ Volcano และ Mighty Medic อยู่ระหว่าง 29% ถึง 35% ซึ่งสูงกว่าการกินซึ่งคาดว่ามีการดูดซึมต่ำกว่า 15%

แหล่งที่มา

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ

กัญชาทางการแพทย์และน้ำมัน CBD ยังคงเป็นยาที่ไม่ได้รับการอนุมัติ ซึ่งหมายความว่ายังไม่มีหลักฐานยืนยันผลที่ชัดเจนเกี่ยวกับประสิทธิภาพของยานี้ นอกจาก Sativex แพทย์หลายคนยังไม่สั่งจ่ายยากัญชา บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อการศึกษาเท่านั้นและไม่ได้มีเจตนาที่จะแนะนำว่ากัญชาทางการแพทย์สามารถใช้รักษาโรคใด ๆ โปรดปรึกษาแพทย์ของคุณ

Pax Mini กับ Pax Plus ต่างกันยังไง ?

Pax Mini กับ Pax Plus ต่างกันยังไง ?

เครื่องอบแต่ละตัวในตลาดมีจุดเด่นแตกต่างกัน ทั้งฟังค์ชั่น และดีไซน์ วันนี้เราจะเปรียบเทียบ 2 รุ่นจากค่าย Pax Labs คือตัว Pax Mini และ Pax Plus

เริ่มต้นที่ภาพรวม ในส่วนของ Pax Mini นั้นเน้นไปที่ความสะดวกสบายในการใช้งานและการออกแบบที่โดนเด่น เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มใช้เครื่องอบ หรือผู้ที่ต้องการตัวพกพาขนาดเล็ก โดยขนาดของ Pax Mini จะยาวแค่ 10 ซม. พกพาได้ทุกที่ แต่ด้วยขนาดห้องอบที่เล็กกว่า Pax Plus ทำให้ Pax Mini สามารถบรรจุสมุนไพรได้ 0.25 กรัม

 

และด้วยการที่ตัวเครื่อง Pax Mini นั้นจะปรับอุณหภูมิเองอัตโนมัติ  จะทำให้ไม่สามารถปรับฟังค์ชั่นความร้อนได้เหมือน Pax Plus ทำให้เรื่องกลิ่นและควันอาจจะควบคุมยากกว่าตัว Pax Plus ที่สามารถเลือกฟังค์ชั่นการใช้งานได้ 4 ระดับตามความต้องการ

 

โดยฟังค์ชั่นที่ Pax Plus สามารถปรับอุณหภูมิได้ สามารถปรับได้ 4 ระดับ ดังนี้

1. Stealth Mode (182°C): ลดปริมาณควันน้อยสุด
2. Efficiency Mode (193°C): เหมาะสำหรับการพักผ่อน
3. Flavor Mode (204°C): เหมาะสำหรับกลิ่นที่ดี หรือ ตัว Concentrate
4. Boost Mode (215°C): โหมดควันเยอะสุด

 

แบตเตอรี่ และการใช้งาน

ทั้ง 2 รุ่นใช้แบตเตอรี่ 18650 ที่ให้ความจุประมาน 3,000 mAh ซึ่งทำให้ Pax Mini มีอายุการใช้งานต่อรอบนานกว่าเล็กน้อย โดย Pax Plus จะสามารถใช้งานได้ประมาน 15 รอบต่อการชาร์จ หรือประมาน 80 นาที ในส่วนของการชาร์จทั้งสองรุ่นชาร์จระบบ Micro-USB

 

ขนาดและดีไซน์
ขนาดของ Pax Plus จะใหญ่กว่าเล็กน้อย โดยขนาดอยู่ที่ 9.8 cm x 3.1 cm x 2.1 cm และหนัก 93 กรัม ขณะที่ Pax Mini มีขนาดอยู่ที่ 8.6 cm x 2.5 cm x 1.8 cm และน้ำหนัก 70 กรัม ในส่วนของการออกแบบ ทั่งสองรูปร่างคล้ายกันมาก สวยงามตามสไตล์ PAX แต่ถ้าเรื่องความสะดวกในการพกพาต้องยกให้ PAX Mini เพราะจิ๋วแต่แจ๋วจริงๆ

การใช้งานแน่นอน Pax Plus ย่อมดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ Pax Mini โดยเฉพาะยิ่งในส่วนของโหมดต่างๆที่ปรับได้ และเมื่อเทียบกับการเพิ่งงบอีกเพียง 3-4,000 ก็ได้ฟังค์ชั่นครบ แต่ถ้าหากมองในแง่ของท่านใดที่ต้องการเพียงการลองประสบการณ์อบสมุนไพรจากเครื่อง PAX นั้น Pax Mini ก็เป็นตัวเลือกที่ดีเพราะราคาที่ประหยัดกว่า และถ้าหากมองเรื่องขนาดอีกด้วย Pax Mini คือตัวที่ตอบโจทย์แน่นอน

อุปกรณ์ภายในกล่อง

สำหรับ Pax Mini อุปกรณ์จะมีเพียงแค่ตัวเครื่อง Pax Mini และสายชาร์จกับแปรงทำความสะอาด แต่ถ้าในส่วนของ Pax Plus นั้น สามารถเลือกได้ว่าต้องการเป็นตัว Starter Set หรือ Complete Set โดยตัว Complete Set จะมีอุปกรณ์สำหรับใช้ร่วมกับ Concentrate ครบภายในกล่อง

โดยภาพรวมสำหรับทั้ง 2 รุ่นนั้นเป็นรุ่นที่เหมาะสมกับกลุ่มความต้องการที่แตกต่างกัน หากท่านกำลังมองหาเครื่องอบดีไซน์สวยงามและมีขนาดเล็กกระทัดลัด พกพาสะดวก โดยไม่ค่อยต้องการความแตกต่างในการใช้งานมากเพราะฟังค์ชั่นที่ทำความร้อนอัตโนมัติ ทำให้การปรับใช้งานความร้อนฟังค์ชั่นต่างๆไม่ได้มีมา แต่ด้วยราคาไม่ถึง 5,000 บาท Pax Mini ก็ถือเป็นอีก 1 รุ่นที่น่าสนใจ

แต่ถ้าหากท่านต้องการใช้งานฟังค์ชั่นความร้อนต่างๆ และต้องการใช้ร่วมกับ Concentrate นั้น PAX PLUS ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เพราะสามารถปรับความร้อนต้องฟังค์ชั่นทั้ง 4 ระดับ และมีอุปกรณ์เสริมสำหรับ Concentrate มาในตัว และขนาดก็ถือว่ามไม่ได้ใหญ่กว่า PAX MINI เท่าไหน่ หากต้องการครบจบเพิ่มอีกนิด PAX PLUS ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดี

โดยทั้ง 2 รุ่นทาง Kondee’s 420 มีจำหน่ายด้านล่างเลยจ้า

Tinymight II เปรียบเทียบกับ Venty จาก Storz&Bickel

Tinymight II เปรียบเทียบกับ Venty จาก Storz&Bickel

วันนี้คนดีจะลองมาเปรียบเทียบข้ามค่ายโดยตัวนึงคือ Tinymight 2 จาก Tinyvape ประเทศฟินแลนด์เปรียบเทียบกันทุกจุดกับ Venty จาก Storz&Bickel ประเทศเยอรมันกันว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง โดยเราจะแบ่งเป็นทั้งในส่วนของระบบการทำความร้อนและคุณภาพของควัน, รูปลักษณ์และฟังค์ชั่นต่างๆ รวมถึงราคาและรายละเอียดยิบย่อยอื่นๆ

เริ่มแรกคือการทำความร้อน ในส่วนของตัว Tinymight 2 เป็นการทำความร้อนในระบบ Convection แต่ถึงแม้จะเป็นระบบการทำความ ร้อนที่ต้องใช้ลมช่วยเพื่อให้นำความร้อนมาสมุนไพร แต่เครื่องทำมาได้เร็วมากๆ ใช้เวลาเพียง 3 วินาทีก็สามารถทำควันได้ ต่างจาก Venty ที่ต้องใช้เวลา 20 วินาทีในการทำความร้อน แต่ระบบของ Venty จะเป็นระบบใหม่ที่เรียกว่าระบบไฮบริดแบบ Mini-Heat คือการที่เครื่องจะค่อยๆปล่อยความร้อนเป็นช่วงๆ เพื่อให้สมุนไพรไม่ไหม้เร็วจนเกินไป ยืดอายุการใช้งานต่อรอบ และตัวเครื่อง Venty ยังสามารถปรับระดับ Air-Flow ได้ถึง 20 ลิตรต่อนาที ทำให้เพิ่มปริมาณลมได้สูงกว่าทุกรุ่นในตลาดเลยทีเดียว

ด้านการใช้งาน Tinymight นั้นสามารถทำความร้อนได้สูงสุดถึง 240 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่า Venty ที่ทำได้ 210 องศาเซลเซียส แต่การปรับความร้อน Tinymight จะปรับได้ระดับ 1-10 โดยหมุนที่ตัวปรับความร้อนด้านใต้เครื่อง ซึ่งจะคาดเดาอุณหภูมิปัจจุบันเครื่องได้ยากโดยประมาณได้ทุก 1 ช่องจะประมาน 13 องศาเซลเซียส เริ่มตั้งแต่ 1 ที่ 110 องศา จนถึง 10 ที่ 240 องศา แต่ Venty จะมีจอสกรีนโชว์สถาณะความร้อนปัจจุบัน และก็สามารถปรับความร้อนได้ทั้งในตัวเครื่องเองและผ่านแอพพลิเคชั่น Storz&Bickel บน Smartphone ได้อีกด้วย และอุณหภูมิเลือกปรับได้ละเอียดกว่า เพราะสามารถปรับได้ทีละ 1 องศาเริ่มจาก 110 จนถึง 210 องศาเซลเซียส

ในส่วนของวัสดุนั้น Tinymight นั้นตัวเครื่องเป็นวัสดุทำจากอลูมิเนียมและไม้วอลนัท ส่วนตัวปากสูบเป็นแบบแก้ว และช่องอบทำจากแสตนเลส ซึ้งข้อดีข้อการใส่สมุนไพรในปากสูบแบบแก้วทำให้ได้กลิ่ยสมุนไพรที่ชัดไม่มีกลิ่นจากพลาสติกหรือวัสดุอื่นๆ แต่ข้อเสียก็คือการที่มันดูแลรักษาอาจจะลำบากกว่าเพราะอาจจะแตกได้ง่ายกว่าแบบพลาสติก แต่ในรุ่น Tinymight 2 จะมีปากสูบแบบแสตนเลสมาด้วย ซึ้งก้อช่วยให้ทนทานและสะดวกยิ่งขึ้นในวันที่ต้องเดินทาง

ในส่วนของ Venty วัสดุทำจากพลาสติกในกรอบนอก รวมถึงปากสูบก็ทำมาจากพลาสติกซึ่งอาจจะมีกลิ่นของพลาสติกบ้างหากทำความสะอาดไม่ดี แต่ด้วยการที่เป็นพลาสติกก็เพราะปากสูบของ Venty ออกแบบมาให้สามารถปรับระดับลมได้

ในส่วนของขนาดนั้น Tinymight 2 นั้นเล็กกว่า Venty พอสมควรเลย แต่ก็เพราะแบตเตอรี่ที่ Venty ใส่แบต Li-On 18650 มาให้ถึง 2 ก้อน ทำให้สามารถใช้งานได้นานมากกว่า Tinymight 2 โดยเฉลี่ยต่อการชาร์จ 1 รอบจะใช้งานแบบต่อเนื่องได้ 30-40 นาที แต่ในส่วนของ Tinymight 2 นั้นใส่แบตเตอรี่ได้เพียงก้อนเดียว ซึ่งเฉลี่ยนถ้าใช้งานต่อเนื่องแบบไม่หยุดเลยจะได้ 10-15 ครั้ง เฉลี่ยประมาน 15-20 นาที และในส่วนของการชาร์จทั้ง 2 ตัวใช้การชาร์จด้วยสาย USB แต่ Venty จะมีการชาร์จแบบ USB-C Super Fast Charge เมื่อใช้ร่วมกับหัวชาร์จที่ Storz&Bickel แนะนำ โดยสามารถชาร์จจาก 0-100% ได้ภายใน 40 นาที

ด้านการทำควัน ตัวเครื่อง Tinymight 2 ทำควันได้รวดเร็วและรุนแรงตามไตล์ Tinymight 2 แต่ก็ยังได้ความนุ่มเนื่องจากเป็นการทำความร้อนแบบ Convection ต่างจาก Venty ที่เป็นการทำคงามร้อนแบบไฮบริดแบบใหม่กับ Mini-Heat ที่ข่วยยืดอายุการใช้งานของสมุนไพรต่อรอบให้ใช้ได้นานยิ่งขึ้นและนุ่มยิ่งขึ้น โดยปริมาณควันยังสามารถปรับได้จากระดับลมที่สามารถปรับได้สูงสุดถึง 20 ลิตรต่อนาที แต่โดยรวมแบ้งปริมาณควันต่อรอบอาจจะยังสู้ Tinymight 2 ไม่ได้ แต่ถ้าความนุ่มนั้นชนะขาด

มาสรุปส่งท้ายกันที่ราคาและการรับประกันหลังการขาย ซึ่งราคาจะค่อยข้างสูสีกัน โดย Tinymight 2 จะมีราคาประมาณ 16,900 บาทและ Venty ราคาอยู่ที่ 19,900 บาท และการรับประกันก็มา 3 ปีเท่ากัน โดย Tinymight จะรับประกันจากประเทศฟินแลนด์และ Venty จะรับประกันจากประเทศเยอรมัน แต่ทั้ง 2 ลูกค้าในไทยที่ซื้อกับคนดี คนดีรับจบเรื่องเคลมให้แบบง่ายๆ

Storz&Bickel ตัวใหม่ Venty เปรียบเทียบกับ Mighty+

Storz&Bickel ตัวใหม่ Venty เปรียบเทียบกับ Mighty+

ตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา Storz&Bickel ได้มีเครื่องอบสมุนไพรที่เป็นที่นิยมอย่าง Mighty+ ที่เป็นที่นิยมและแพร่หลายเป็นอย่างมาก แต่แล้วเมื่อปลายปีที่ผ่านมา Storz&Bickel ได้เปิดตัวเครื่องตัวใหม่ Venty ที่เคลมว่าเป็นเครื่องอบสมุนไพรที่มีควาทนุ่มนวลและแรงที่สุดของ Storz&Bickel วันนี้คนดีจะมารีวิว ว่าเจ้าตัว Venty นั้นมีความแตกต่างจาก Mighty+ แบบเดิมอย่างไรบ้าง

อย่างแรกที่เป็นไฮไลท์ของการพัฒนารุ่น Venty ขึ้นมาคือการที่ตัวเครื่อง Venty สามารถปรับปริมาณลมได้ สูงสุดถึง 20 ลิตรต่อนาทีซึ่งมากที่สุดเมื่อเทียบกับทุกเจ้า ซึ่งจะช่วยให้เราได้กลิ่นที่ชัดเจนขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มความร้อน และความร้อนระบบใหม่ของ Venty จะเปนระบบ Mini-Heat ช่วยให้สมุนไพรที่ใช้นั้นค่อยๆร้อน ยืดอายุการใช้งานต่อรอบได้นานยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในเรื่องของคุณภาพควันทั้ง 2 ซึ่งทำ 2 รุ่นเป็นระบบ Hybrid ระหว่าง Conduction และ Convection และทำออกมาได้ของค้างดีเท่าเทียมกัน แต่ด้วยระบบ Mini-Heat ของ Venty ทำให้กลิ่นไหม้จะไม่ค่อยมีละสมุนไพรจะไหม้ช้ากว่าระบบของ Mighty+ แบบเดิม

ต่อไปในส่วนของความไวในการทำความร้อนนั้น Venty สามารถทำความร้อนจนถึงความร้อนสูงสุดได้ในเวลาเพียง 20 วินาที ซึ่งค่อนข้างไวกว่า Mighty+ แบบเดิมที่ทำความร้อนไวใน 60 วินาที

ในส่วนของการสั่งงาน ระบบภายในจะมาเหมือนกันทั้งการทำความร้อนจะสามารถตั้งอุณหภูมิได้ตั้งแต่ 40°C to 210°C และทั้งสองตัวก็ทำออกมาได้อย่างแม่นยำ การปรับความร้อนและการควบคุมการใช้งานของ Venty จะสามารถปรับได้ทั้งในบนตัวเครื่องและผ่านแอพลิเคชั่น Storz&Bickel ซึ่งจะต่างจาก Mighty+ ที่สามารถปรับความร้อนและควบคุมการใช้งานจากบนตัวเครื่องอย่างเดียว

แบตเตอรี่และการชาร์จของรุ่น Venty นั้นใช้ระบบ USB-C เหมือนกันกับ Mighty+ โดยจะเป็นแบตเตอรี่ 18650 Li-Ion แต่ Venty จะมีความจุไฟน้อยกว่า Mighty+ อยู่บ้างแต่ด้วยระบบทำความร้อนแบบใหม่ ทำให้การใช้งานจริงๆแล้วสามารถใช้ได้

ประมาน 90 นาทีเหมือนกันทั้งสองตัว อย่างเดียวที่เราเห็นว่า Venty ต่างจากรุ่นก่อนอย่างชัดเจน คือระบบอย่างที่ Mighty+ มีระบบ Pass-Through ที่ช่วยให้คุณสามารถใช้งาน Mighty+ ได้ในขณะกำลังชาร์จไฟซึ่งแตกต่างจาก Venty ที่ไม่สามารถใช้งานระบบ Pass-Through ลักษณะนี้ได้ แต่ที่ Venty ทำได้ดีกว่าคือความไวในการชาร์จซึ่ง Venty สามารถชาร์จแบตเต็มได้ภายใน 40 วินาที ซึ่งไวกว่า Mighty+ ทำจะใช้เวลาในการชาร์จ 1-3 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับสายชาร์จและหัวชาร์จ

ด้านขนาดและการออกแบบ ถึง Venty จะออกแบบหัวคูลลิ่งแบบใหม่เพื่อให้ปรับลมได้มากขึ้น แต่ก็ยังมีความสามารถในการทำให้ควันเย็นลงไม่ต่างจากระบบของ Mighty+ แบบเดิม และตัวเครื่องขนาดห้องอบนั้น Venty จะใส่ได้มากกว่าเล็กน้อย โดย Venty สามารถใส่สมุนไพรได้ 0.25 กรัมต่อครั้ง ในส่วนของขนาดมีความแตกต่างกันพอสมควร

ในส่วนราคานั้น Venty จะมีราคาสูงกว่า Mighty+ พอสมควร แต่ด้วยระบบอะไรใหม่ๆ และระบบ Mini-Heat กับการปรับลมได้ถึง 20 ลิตรต่อนาที Venty คือเครื่องอบสมุนไพรตัวนึงที่หากท่านต้องการความพรีเมี่ยม ท่านควรคำนึงถึง

Arizer SOLO III มีอะไรพัฒนาจากเดิมบ้าง

Arizer SOLO III มีอะไรพัฒนาจากเดิมบ้าง

Arizer Solo 3 เครื่องอบสมุนไพรรุ่นใหม่ล่าสุดจาก Arizer ที่มาพร้อมทุกอย่างที่เยอะและใหญ่กว่าเดิม ตัวเครื่องใหญ่กว่าเดิม กลิ่นและควันที่เยอะกว่าเดิม ซึ่งเป็นเครื่องอบรุ่นที่แพงที่สุดของ Arizer ที่รับประกันความคุ้มค่า หากคุณคิดถึงเครื่องอบสมุนไพรที่รุนแรงเครื่องนึง Arizer Solo 3 เป็นอีกหนึ่งเครื่องนึงที่คุณควรคิดถึง

Arizer Solo3 ยังมาพร้อมการออกแบบที่เหมือนกันรุ่น Solo 2 ที่ได้รับความนิยม แต่จะมีตัวเครื่องที่ใหญ่กว่าเดิม ซึ่งนอกจากจะมาพร้อมท่อแก้วสำหรับใส่สมุนไพรแบบเดิม รุ่น Solo3 ยังมาพร้อมท่อแก้วขนาด XL ที่สามารถใส่สมุนไพรได้เป็น 2 เท่า ซึ่งเมื่อมาใช้คู่กับระบบทำความร้อนไฮบริดแบบใหม่ที่แรงกว่าเดิมนั้น ทำให้ควันที่ได้นั้นเยอะกว่าเดิมและกลิ่นชัดกว่าเดิมมาก แต่ถ้าหากอยากลดความรุนแรงก็สามารถใช้ท่อแก้วขนาดปกติได้เช่นกัน

อีกหนึ่งจุดเด่นของการทำความร้อนที่ Arizer Solo 3 พัฒนามาใหม่คือระบบไฮบริดที่สาทารถช่วยให้คุณใช้งานสมุนไพรได้ต่อรอบเยอะกว่ารุ่นก่อนๆเกือบ 2 เท่า โดยไม่กระทบคุณภาพและปริมาณของควันที่ออกมา

และอีกส่วนที่ช่วยให้กลิ่นของสมุนไพรที่ได้จาก Arizer Solo 3 นั้นคือการที่ตัวเครื่องเป็นระบบ Glass Tube โดยจะใส่สมุนไพรในแก้วก่อนใส่ลงในช่องอบ ช่วยให้กลิ่นที่ได้ไร้กลิ่นพลาสติกหรือกลิ่นไม่วัสดุอื่นๆ ช่วยให้รับกลิ่นเทอรปีนส์จากสมุนไพรได้อย่างยอดเยี่ยม

 

ในส่วนของหน้าจอการใช้งานก็พัฒนาให้มีสีสันมากขึ้น และจุดเด่นอีกอย่างของ Arizer Solo 3 คือระบบ Seesion ที่ให้คุณสามารถปรับเวลาได้ตามต้องการ และการตั้งอุณหภูมิตัว Arizer Solo 3 สามารถกำกนดความร้อนได้ 5 ช่วง ระหว่าง 180-220 องศาเซลเซียส โดนจะปรับขึ้นลงได้ทีละ 10 องศาเซลเซียส

 

ข้อเสียอย่างเดียวที่พบก็คือขนาดของ Arizer Solo 3 ก็คือเรื่องของขนาด ถึงจะเป็นเครื่องอบแบบพกพาแต่ด้วยขนาดที่ค่านข้างใหญ่ อาจจะต้องพกพาภายในบ้านเป็นหลัก

แต่ถ้าพูดถึงเทรนด์กระแสที่ชอบเครื่องอบที่มีความรุนแรงนั้น ก็ถือว่า Arizer Solo 3 ทำมาได้ไม่แพ้เจ้าอื่นๆ ในระดับราคาที่แพงกว่า ซึ่งเจ้าตัว Arizer Solo 3 ราคานั้นก็ถูกกว่าเจ้าอื่นที่เป็นเครื่องอบคุณภาพระดับพรีเมี่ยม

ภายในเซทของ Arizer Solo 3 มาพร้อมกับอุปกรณ์ทุกอย่างที่คุณต้องการจริงๆ ประกอบด้วย

1 x Solo III Multi-Purpose Portable Heater

1 x คู่มือ Solo III 1 x สายชาร์จ USB-C (5v, 3A)

1 x XL Glass Aroma Tube (90mm)

1 x XL Frosted Glass Aroma Tube (14mm)

1 x Air / Solo Glass Aroma Tube (90mm)

1 x Air / Solo Frosted Glass Aroma Tube (14mm)

4 x Air / Solo Silicone Stem Caps

2 x หลอดแก้วฝาปิดสำหรับเดินทางขนาด 90 มม.

2 x หลอดแก้วฝาปิดสำหรับเดินทางขนาด 70 มม

1 x อุปกรณ์ทำความสะอาด

4 x แผ่นกสรีน

G-Pen Dash+ แตกต่างจากรุ่นเดิมอย่างไร

G-Pen Dash+ แตกต่างจากรุ่นเดิมอย่างไร

G-Pen Dash VS Dash+

วันนี้คนดีจะมาเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง G-Pen Dash+ รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งออกมาเมื่อปลายปีที่แล้วกับเจ้า G-Pen Dash แบบเดิมว่าจะมีความแตกต่างและพัฒนามากขึ้นเพียงใด

เริ่มต้นเลย สำหรับ G-Pen Dash+ ที่เห็นถึงความแตกต่างชัดเจนก็คือหน้าจอ LED ที่จะสามารถสั่งงานเครื่องได้ต่างจากรุ่นก่อน ที่จะเป็นแค่ไฟโชว์สถานะการทำงาน ซึ่งหน้าจอ LED อันนี้ ช่วยให้เราสามารถปรับอุณหภูมิได้จากอุณหภูมิ 110 ถึง 215 องศาเซลเซียส และอีกฟังก์ชันหนึ่งที่ G-Pen Dash+ มีต่างจากรุ่นอื่นๆคือการที่มันสามารถปรับระยะเวลาของโหมด Session Mode ได้ตามที่ผู้ใช้ต้องการ

ในด้านระบบทำความร้อน G-Pen Dash+ จะมีการพัฒนาระบบความร้อนเป็นระบบไฮบริด Conduction +Convection ซึ่งต่างจาก G-Pen Dash ที่มากับระบบความร้อนแบบ Convection อย่างเดียว ทั้งนี้ระบบแบบไฮบริดจะช่วยให้มีควันเร็วขึ้นและมากขึ้นกว่าระบบแบบเดิม นอกจากนี้ G-Pen Dash+ ยังถือเป็นเครื่องอบระบบไฮบริดที่มีราคาถูกที่สุด ซึ่งถ้าใครต้องการชิมการออกแบบระบบ ในราคาเริ่มต้นก็สามารถลองได้กับ G-Pen Dash+

ในส่วนของห้องอบ G-Pen Dash+ ห้องอบจะทำจากวัสดุไทเทเนี่ยม ซึ่งจะทำให้ถ่ายโอนความร้อนได้เร็วยิ่งขึ้นและช่วยให้ลดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์จากวัสดุแบบเดิมที่ทำจากสแตนเลสเคลือบแก้วของ G-Pen Dash

ด้านวัสดุภายนอกตัว G-Pen Dash+ วัสดุทำจาก Zinc-Alloy ช่วยให้มีน้ำหนักเบาและทนทานกว่า G-Pen Dash แบบเดิม ที่วัสดุทำจาก Steel-Alloy ธรรมดา และแบตเตอรี่ของเจ้า G-Pen Dash+ ก็มาถึง 1800 mAh ซึ่งมากกว่า รุ่นก่อนถึงสองเท่าช่วยเพิ่มอายุการใช้งานในระหว่างวันให้นานยิ่งขึ้น

ในส่วนของด้านการรับประกัน G-Pen Dash+ จะมามาพร้อมกับการรับประกัน 2 ปีเต็มมากกว่า G-Pen Dash แบบเดิมถึงสองเท่าซึ่งมั่นใจได้ว่าเครื่องอบตัวนี้จะอยู่กับแบบยาวๆ คุ้มค่าเงินที่จ่ายแน่นอน