Storz&Bickel ตัวใหม่ Venty เปรียบเทียบกับ Mighty+

Storz&Bickel ตัวใหม่ Venty เปรียบเทียบกับ Mighty+

ตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา Storz&Bickel ได้มีเครื่องอบสมุนไพรที่เป็นที่นิยมอย่าง Mighty+ ที่เป็นที่นิยมและแพร่หลายเป็นอย่างมาก แต่แล้วเมื่อปลายปีที่ผ่านมา Storz&Bickel ได้เปิดตัวเครื่องตัวใหม่ Venty ที่เคลมว่าเป็นเครื่องอบสมุนไพรที่มีควาทนุ่มนวลและแรงที่สุดของ Storz&Bickel วันนี้คนดีจะมารีวิว ว่าเจ้าตัว Venty นั้นมีความแตกต่างจาก Mighty+ แบบเดิมอย่างไรบ้าง

อย่างแรกที่เป็นไฮไลท์ของการพัฒนารุ่น Venty ขึ้นมาคือการที่ตัวเครื่อง Venty สามารถปรับปริมาณลมได้ สูงสุดถึง 20 ลิตรต่อนาทีซึ่งมากที่สุดเมื่อเทียบกับทุกเจ้า ซึ่งจะช่วยให้เราได้กลิ่นที่ชัดเจนขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มความร้อน และความร้อนระบบใหม่ของ Venty จะเปนระบบ Mini-Heat ช่วยให้สมุนไพรที่ใช้นั้นค่อยๆร้อน ยืดอายุการใช้งานต่อรอบได้นานยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในเรื่องของคุณภาพควันทั้ง 2 ซึ่งทำ 2 รุ่นเป็นระบบ Hybrid ระหว่าง Conduction และ Convection และทำออกมาได้ของค้างดีเท่าเทียมกัน แต่ด้วยระบบ Mini-Heat ของ Venty ทำให้กลิ่นไหม้จะไม่ค่อยมีละสมุนไพรจะไหม้ช้ากว่าระบบของ Mighty+ แบบเดิม

ต่อไปในส่วนของความไวในการทำความร้อนนั้น Venty สามารถทำความร้อนจนถึงความร้อนสูงสุดได้ในเวลาเพียง 20 วินาที ซึ่งค่อนข้างไวกว่า Mighty+ แบบเดิมที่ทำความร้อนไวใน 60 วินาที

ในส่วนของการสั่งงาน ระบบภายในจะมาเหมือนกันทั้งการทำความร้อนจะสามารถตั้งอุณหภูมิได้ตั้งแต่ 40°C to 210°C และทั้งสองตัวก็ทำออกมาได้อย่างแม่นยำ การปรับความร้อนและการควบคุมการใช้งานของ Venty จะสามารถปรับได้ทั้งในบนตัวเครื่องและผ่านแอพลิเคชั่น Storz&Bickel ซึ่งจะต่างจาก Mighty+ ที่สามารถปรับความร้อนและควบคุมการใช้งานจากบนตัวเครื่องอย่างเดียว

แบตเตอรี่และการชาร์จของรุ่น Venty นั้นใช้ระบบ USB-C เหมือนกันกับ Mighty+ โดยจะเป็นแบตเตอรี่ 18650 Li-Ion แต่ Venty จะมีความจุไฟน้อยกว่า Mighty+ อยู่บ้างแต่ด้วยระบบทำความร้อนแบบใหม่ ทำให้การใช้งานจริงๆแล้วสามารถใช้ได้

ประมาน 90 นาทีเหมือนกันทั้งสองตัว อย่างเดียวที่เราเห็นว่า Venty ต่างจากรุ่นก่อนอย่างชัดเจน คือระบบอย่างที่ Mighty+ มีระบบ Pass-Through ที่ช่วยให้คุณสามารถใช้งาน Mighty+ ได้ในขณะกำลังชาร์จไฟซึ่งแตกต่างจาก Venty ที่ไม่สามารถใช้งานระบบ Pass-Through ลักษณะนี้ได้ แต่ที่ Venty ทำได้ดีกว่าคือความไวในการชาร์จซึ่ง Venty สามารถชาร์จแบตเต็มได้ภายใน 40 วินาที ซึ่งไวกว่า Mighty+ ทำจะใช้เวลาในการชาร์จ 1-3 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับสายชาร์จและหัวชาร์จ

ด้านขนาดและการออกแบบ ถึง Venty จะออกแบบหัวคูลลิ่งแบบใหม่เพื่อให้ปรับลมได้มากขึ้น แต่ก็ยังมีความสามารถในการทำให้ควันเย็นลงไม่ต่างจากระบบของ Mighty+ แบบเดิม และตัวเครื่องขนาดห้องอบนั้น Venty จะใส่ได้มากกว่าเล็กน้อย โดย Venty สามารถใส่สมุนไพรได้ 0.25 กรัมต่อครั้ง ในส่วนของขนาดมีความแตกต่างกันพอสมควร

ในส่วนราคานั้น Venty จะมีราคาสูงกว่า Mighty+ พอสมควร แต่ด้วยระบบอะไรใหม่ๆ และระบบ Mini-Heat กับการปรับลมได้ถึง 20 ลิตรต่อนาที Venty คือเครื่องอบสมุนไพรตัวนึงที่หากท่านต้องการความพรีเมี่ยม ท่านควรคำนึงถึง

Arizer SOLO III มีอะไรพัฒนาจากเดิมบ้าง

Arizer SOLO III มีอะไรพัฒนาจากเดิมบ้าง

Arizer Solo 3 เครื่องอบสมุนไพรรุ่นใหม่ล่าสุดจาก Arizer ที่มาพร้อมทุกอย่างที่เยอะและใหญ่กว่าเดิม ตัวเครื่องใหญ่กว่าเดิม กลิ่นและควันที่เยอะกว่าเดิม ซึ่งเป็นเครื่องอบรุ่นที่แพงที่สุดของ Arizer ที่รับประกันความคุ้มค่า หากคุณคิดถึงเครื่องอบสมุนไพรที่รุนแรงเครื่องนึง Arizer Solo 3 เป็นอีกหนึ่งเครื่องนึงที่คุณควรคิดถึง

Arizer Solo3 ยังมาพร้อมการออกแบบที่เหมือนกันรุ่น Solo 2 ที่ได้รับความนิยม แต่จะมีตัวเครื่องที่ใหญ่กว่าเดิม ซึ่งนอกจากจะมาพร้อมท่อแก้วสำหรับใส่สมุนไพรแบบเดิม รุ่น Solo3 ยังมาพร้อมท่อแก้วขนาด XL ที่สามารถใส่สมุนไพรได้เป็น 2 เท่า ซึ่งเมื่อมาใช้คู่กับระบบทำความร้อนไฮบริดแบบใหม่ที่แรงกว่าเดิมนั้น ทำให้ควันที่ได้นั้นเยอะกว่าเดิมและกลิ่นชัดกว่าเดิมมาก แต่ถ้าหากอยากลดความรุนแรงก็สามารถใช้ท่อแก้วขนาดปกติได้เช่นกัน

อีกหนึ่งจุดเด่นของการทำความร้อนที่ Arizer Solo 3 พัฒนามาใหม่คือระบบไฮบริดที่สาทารถช่วยให้คุณใช้งานสมุนไพรได้ต่อรอบเยอะกว่ารุ่นก่อนๆเกือบ 2 เท่า โดยไม่กระทบคุณภาพและปริมาณของควันที่ออกมา

และอีกส่วนที่ช่วยให้กลิ่นของสมุนไพรที่ได้จาก Arizer Solo 3 นั้นคือการที่ตัวเครื่องเป็นระบบ Glass Tube โดยจะใส่สมุนไพรในแก้วก่อนใส่ลงในช่องอบ ช่วยให้กลิ่นที่ได้ไร้กลิ่นพลาสติกหรือกลิ่นไม่วัสดุอื่นๆ ช่วยให้รับกลิ่นเทอรปีนส์จากสมุนไพรได้อย่างยอดเยี่ยม

 

ในส่วนของหน้าจอการใช้งานก็พัฒนาให้มีสีสันมากขึ้น และจุดเด่นอีกอย่างของ Arizer Solo 3 คือระบบ Seesion ที่ให้คุณสามารถปรับเวลาได้ตามต้องการ และการตั้งอุณหภูมิตัว Arizer Solo 3 สามารถกำกนดความร้อนได้ 5 ช่วง ระหว่าง 180-220 องศาเซลเซียส โดนจะปรับขึ้นลงได้ทีละ 10 องศาเซลเซียส

 

ข้อเสียอย่างเดียวที่พบก็คือขนาดของ Arizer Solo 3 ก็คือเรื่องของขนาด ถึงจะเป็นเครื่องอบแบบพกพาแต่ด้วยขนาดที่ค่านข้างใหญ่ อาจจะต้องพกพาภายในบ้านเป็นหลัก

แต่ถ้าพูดถึงเทรนด์กระแสที่ชอบเครื่องอบที่มีความรุนแรงนั้น ก็ถือว่า Arizer Solo 3 ทำมาได้ไม่แพ้เจ้าอื่นๆ ในระดับราคาที่แพงกว่า ซึ่งเจ้าตัว Arizer Solo 3 ราคานั้นก็ถูกกว่าเจ้าอื่นที่เป็นเครื่องอบคุณภาพระดับพรีเมี่ยม

ภายในเซทของ Arizer Solo 3 มาพร้อมกับอุปกรณ์ทุกอย่างที่คุณต้องการจริงๆ ประกอบด้วย

1 x Solo III Multi-Purpose Portable Heater

1 x คู่มือ Solo III 1 x สายชาร์จ USB-C (5v, 3A)

1 x XL Glass Aroma Tube (90mm)

1 x XL Frosted Glass Aroma Tube (14mm)

1 x Air / Solo Glass Aroma Tube (90mm)

1 x Air / Solo Frosted Glass Aroma Tube (14mm)

4 x Air / Solo Silicone Stem Caps

2 x หลอดแก้วฝาปิดสำหรับเดินทางขนาด 90 มม.

2 x หลอดแก้วฝาปิดสำหรับเดินทางขนาด 70 มม

1 x อุปกรณ์ทำความสะอาด

4 x แผ่นกสรีน

G-Pen Dash+ แตกต่างจากรุ่นเดิมอย่างไร

G-Pen Dash+ แตกต่างจากรุ่นเดิมอย่างไร

G-Pen Dash VS Dash+

วันนี้คนดีจะมาเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง G-Pen Dash+ รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งออกมาเมื่อปลายปีที่แล้วกับเจ้า G-Pen Dash แบบเดิมว่าจะมีความแตกต่างและพัฒนามากขึ้นเพียงใด

เริ่มต้นเลย สำหรับ G-Pen Dash+ ที่เห็นถึงความแตกต่างชัดเจนก็คือหน้าจอ LED ที่จะสามารถสั่งงานเครื่องได้ต่างจากรุ่นก่อน ที่จะเป็นแค่ไฟโชว์สถานะการทำงาน ซึ่งหน้าจอ LED อันนี้ ช่วยให้เราสามารถปรับอุณหภูมิได้จากอุณหภูมิ 110 ถึง 215 องศาเซลเซียส และอีกฟังก์ชันหนึ่งที่ G-Pen Dash+ มีต่างจากรุ่นอื่นๆคือการที่มันสามารถปรับระยะเวลาของโหมด Session Mode ได้ตามที่ผู้ใช้ต้องการ

ในด้านระบบทำความร้อน G-Pen Dash+ จะมีการพัฒนาระบบความร้อนเป็นระบบไฮบริด Conduction +Convection ซึ่งต่างจาก G-Pen Dash ที่มากับระบบความร้อนแบบ Convection อย่างเดียว ทั้งนี้ระบบแบบไฮบริดจะช่วยให้มีควันเร็วขึ้นและมากขึ้นกว่าระบบแบบเดิม นอกจากนี้ G-Pen Dash+ ยังถือเป็นเครื่องอบระบบไฮบริดที่มีราคาถูกที่สุด ซึ่งถ้าใครต้องการชิมการออกแบบระบบ ในราคาเริ่มต้นก็สามารถลองได้กับ G-Pen Dash+

ในส่วนของห้องอบ G-Pen Dash+ ห้องอบจะทำจากวัสดุไทเทเนี่ยม ซึ่งจะทำให้ถ่ายโอนความร้อนได้เร็วยิ่งขึ้นและช่วยให้ลดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์จากวัสดุแบบเดิมที่ทำจากสแตนเลสเคลือบแก้วของ G-Pen Dash

ด้านวัสดุภายนอกตัว G-Pen Dash+ วัสดุทำจาก Zinc-Alloy ช่วยให้มีน้ำหนักเบาและทนทานกว่า G-Pen Dash แบบเดิม ที่วัสดุทำจาก Steel-Alloy ธรรมดา และแบตเตอรี่ของเจ้า G-Pen Dash+ ก็มาถึง 1800 mAh ซึ่งมากกว่า รุ่นก่อนถึงสองเท่าช่วยเพิ่มอายุการใช้งานในระหว่างวันให้นานยิ่งขึ้น

ในส่วนของด้านการรับประกัน G-Pen Dash+ จะมามาพร้อมกับการรับประกัน 2 ปีเต็มมากกว่า G-Pen Dash แบบเดิมถึงสองเท่าซึ่งมั่นใจได้ว่าเครื่องอบตัวนี้จะอยู่กับแบบยาวๆ คุ้มค่าเงินที่จ่ายแน่นอน

รีวิว Venty จาก Storz&Bickel

รีวิว Venty จาก Storz&Bickel

วันนี้คนดีจะมารีวิวเครื่องอบสมุนไพรรุ่นล่าสุดจากค่าย Storz&Bickel อย่างเจ้าตัว Venty

ก่อนอื่นเลยนี้ก็คือเจ้าตัว Venty ซึ่งรูปทรงจะต่างออกไปจากเครื่องอบก่อนๆของ Storz&Bickel ส่วนหัวก็จะบิดออกแบบนี้เพื่อให้ใส่สมุนไพรลงไปได้ ซึ่งสามารถใส่ได้ทั้งแบบแคปซูลหรือจะใส่ไปในช่องเลย ความจุมากสุดได้ถึง 0.25 กรัม

พอใส่แล้วเราก็สามารถมาตั้งไฟได้เลย ซึ่งสามารถตั้งได้ 40-210 องศา ระบบทั้งความร้อนเปนแบบใหม่นะ เรียกว่า ระบบ Mini Heater ที่พัฒนามาจากระบบแบบเดิม ช่วยให้กลิ่นสมุนไพรดียิ่งขึ้น ไม่มีกลิ่นไหม้อีกต่อไป และทำควันได้เร็วขึ้นเพียง 20 วินาทีถึงความร้อนสูงสุด

ด้านการตั้งอุณหภูมิทำได้ทั้งแบบกดที่เครื่องหรือจะตั้งผ่าน Smartphone ก็ได้ในแอพของ Storz&Bickel ซึ่งวิธีต่อบลูทูธสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ บทความก่อนๆได้ และใน Smartphone ยังสามารถตั้งค่า Pre-Set เพื่อความสะดวกในการใช้งานครั้งต่อๆไป / ปรับลดแสงหน้าจอ / ปิด/เปิด โหมดสั่น / และยังสามารถปรับเปนโหมด Eco-Charger เพื่อยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้อีกด้วย

ในส่วนอีกไฮไลต์เด่นๆก็คือ เจ้าเครื่อง Venty นั้นสามารถปรับระดับลมได้ ซึ่งมันก็สามารถปรับให้รับลมได้ถึง 20 ลิตรต่อนาที ทำให้เราสามารถเพิ่มลดปริมานควันได้ โดยไม่ต้องไปยุ่งกับอุณหภูมิ

ด้านการชาร์จก็ลาร์จแบบ USB-C โดยสามารถชาร์จจาก 0 ถึง 80% ได้ในเวลา 40 นาที มาพร้อมแบตเตอรี่ 18650 li-ion ซึ่งสามารถให้กำลังไฟสูงสุดที่ 130 วัตต์ 16 แอมป์

ฟังค์ชั่นเด่นของ Venty

– ปรับระดับลมได้สูงสุด 20 ลิตรต่อนาที 

– ทำความร้อนภายใน 20 วินาที 

– ฟีเจอร์ใหม่ระบบความร้อนแบบ Conduction + Convection แบบ Mini Heater ช่วยให้ไม่มีการไหม้ เพิ่มปริมาณควันและความนุ่มนวล 

– อุณหภูมิแม่นยำได้ตั้งแต่ 40 องศาเซลเซียส – 210 องศาเซลเซียส

– การชาร์จแบบ USB-C สามารถชาร์จจาก 0 ถึง 80% ได้ภายใน 40 นาที

– รองรับการเชื่อมต่อบลูทูธ 

– รับประกัน 2 + 1 ปี หากลงทะเบียนที่เวป Storz&Bickel

สรุปแล้ว Venty เป็นอีกหนึ่งเครื่องอบที่ทำออกมาได้ดีมาก ด้วยฟังค์ชั่นการปรับลมช่วยให้เราได้ควันที่เยอะขึ้น แม้จะใช้อุณหภูมิไม่สูงมาก ควันก้อยังเยอะ ทำให้กลิ่นสมุนไพรดีมากๆ
แต่ข้อเสียก้ออาจจะเปนที่ขนาดนะ ค่อนข้างพกพาลำบากนิดนึง

XMAX V3 Pro กับ Starry 4 ต่างกันยังไง ?

XMAX V3 Pro กับ Starry 4 ต่างกันยังไง ?

วันนี้คนดีเรากลับมาพร้อมกับคำถามที่ทุกคนถามเข้ามากันเยอะมากว่าอะไรคือความแตกต่างระหว่าง XMAX V3 Pro กับ XMAX Starry 4 เพราะราคามันพอๆกันเลยครับพี่ ?

 

วันนี้ก็จะมีคำตอบมาให้พร้อมกับเปรียบเทียบกับแบบทุกจุดเลย เริ่มจากรูปทรงน้า แล้วเราก็จะดูระบบข้างในว่ามันต่างกันยังไง รวมถึงการใช้งานว่าต่างกันยังไง คลิปนี้ คนดีมีคำตอบ

 

เริ่มต้นเรามาดูกันที่รูปทรง ตัวแรกเจ้า XMAX V3 Pro เนี่ยรูปทรงมาจะมาแนวทรงตรงแบบนี้ เปนแท่งคล้ายปากกาขนาดกำลังดี ถนัดมือ แต่ถ้าใส่กระเป๋ากางเกงมันก็อาจจะดูใหญ่ไปนิดนึงนะ แต่รูปทรงของ Starry 4 มันจะเปนทรงเรียว ซึ่งโดยรวมมันค่อนข้างเล็กกว่า ทำให้การพกพาเนี่ยคนดีมองว่า Starry 4 จะเหมาะกับคนที่มองหาขนาดที่ค่อนข้างกระทัดรัดกว่า V3 Pro

 

สำหรับช่องอบ V3 Pro และ Starry นั้นเป็นช่องอบแบบ Ceramic เหมือนกัน โดยของ V3 Pro จะใส่ได้ประมาน 0.15 กรัมต่อครั้งแต่ Starry จะใส่ได้ประมาน 0.2 กรัม ซึ่งโดยรวมมันจะไม่ต่างมาก แต่ที่ต่างคือช่องอบของ V3 Pro จะเป็นระบบ Convection ทำให้ตัวกำเนิดความร้อนจะอยู่ด้านล่างแล้วเราต้องสูบลงเพื่อนำลมร้อนเข้าสู้ช่อง Chamber แต่ตัวของ Starry 4 นั้นเป็นแบบ Conduction เพราะฉะนั้นช่องอบจะเป็น Heating Chamber ที่ทำความร้อนได้ในตัวช่องอบเอง

หากใครต้องการทราบข้อมูลความแตกต่างระหว่างห้องอบแบบ Conduction และ ห้องอบแบบ Convection นั้นก็สามารถอ่านต่อแบบละเอียดได้ที่ บทความ เครื่องอบระบบConvection (พาความร้อน) กับเครื่องอบระบบConduction (นำความร้อน) ต่างกันอย่างไร?

ต่อไปเรามาดูกันในส่วนของการใช้งาน ก็เพราะว่า V3 Pro เป็นระบบ Convection ทำให้การใช้งานเมื่อเราตั้งอุนหภูมิแล้วเมื่อความร้อนถึงเรายังต้องสูบลมเข้าเพื่อให้มันเริ่มทำงาน และเริ่มมีควัน แต่ข้อดีของระบบนี้คือควันที่นุ่มกว่า และการเผาไหม้ที่ทั่วถึง แต่หากเป็น Starry จะเป็นระบบความร้อนแบบ Conduction ซึ่งการใช้งานจะแตกต่างจาก V3 Pro เพราะเมื่อความร้อนถึงแล้ว Starry จะเริ่มมีควันทันทีโดยโดยไม่ต้องสูบลมเข้าเพื่อให้เริ่มมีควัน เพราะฉะนั้นมันจะใช้งานง่ายกว่า แต่ขอเสียของระบบที่ทำความร้อนในห้องอบคือ สมุนไพรที่อยู่ตรงกลางอาจจะร้อนช้ากว่าตัวที่อยู่ติดผนังห้องอบ ทำให้อาจจะมีกลินไหม้เร็วกว่าตัว V3 Pro

ว่ากันต่อในส่วนของแบตเตอรี่ XMAX V3 Pro มาพร้อมแบตเตอรี่แบบ 18650 ความจุไฟ 3000mAh ซึ่งก็สามารถใช้งานค่อนข้างนานได้ทั้งวัน และถ้าหากแบตเตอรี่หมดก่อนเราสามารถพกแบตเตอรี่ 18650 ก็สามารถเปลี่ยนง่ายๆ แต่ในส่วนของ Starry 4 นั้นแบตเตอรี่ที่มาด้วยเป็นแบบ 18650 เช่นกันแต่ความจุไฟจะน้อยกว่าที่ 2550mAh แต่เราสามารถเอาแบตเตอรี่มีกำลังไฟสูงกว่าใส่ได้และก็สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้เช่นกันหากแบตหมด ซึ่งทั้งสองตัวมาพร้อมช่องเสียบชาร์จแบบ USB-C และสามารถชาร์จผ่าน USB ได้

 

ด้านฟิวลิ่งการใช้งานเครื่อง XMAX V3 Pro นั้นจะได้ควันที่ค่อนข้างนุ่มกว่าและสมุนไพรข้างในจะร้อนพร้อมๆกัน เพราะลมจะพาความร้อนผ่านสมุนไพรทุกจุด แต่ตัว Starry นั้นจะได้ควันที่ออกมาไวกว่า แต่ความนุ่มจะสู้ V3 Pro ไม่ได้และกลิ่นอาจจะเพี้ยนกว่าเพราะอาจจะติดกลิ่นไหม้จากสมุนไพรส่วนที่อยู่ติดกับห้องอบจะร้อนไวกว่าที่อยู่ตรงกลางห้องอบ ด้านการดูแลรักษาค่อนข้างคล้ายกัน ไม่ต่างกันมาก เพียงใช้สำลีที่แถมมาหรือสำลีที่ไม่มีขุยทำความสะอาดช่องอบเมื่อสกปรก

 

อีกหนึ่งจุดสำคัญที่คนดีมองว่า V3 Pro ทำได้ดีคือการที่เครื่องมีตัวเลือกของแต่งเยอะมาก ต่างจาก Starry ที่หลักๆจะเป็นข้อต้อบ้องกับข้อต่อแบบ Glass Bubbler ของ Xmax เองแบบสาย ซึ่งก้อใช้งานค่อนข้างยาก แต่ V3 Pro มีทั้งแบบของแต่งจากค่าย XMAX เองเลยทั้งข้อต่อบ้องและ Glass Bubbler หรือปากสูบแก้วก็มีให้เลือก หรือหากไม่ถูกใจก็มีของแต่งอื่นๆจากคนดีในคลิปก่อนหน้านี้รับชมได้ เดียวแปะลิงค์ไว้ให้ตอนจบคลิปนี้นะจ่ะ

 

ด้านราคาสองตัวนี้มาราคาเท่ากัน แต่ตัว XMAX Starry จะมีแบบ Blind Box Set แบบนี้นะ ซึ่งจะเปนลายแบบพิเศษสุ่มใส่ลงไปในกล่อง มีทั้งหมด 4 ลายนี้ ซึ่งราคาจะสูงกว่าแบบธรรมดา แต่จะมีอุปกรณ์เสริมแถมมาให้ในกล่องซึ่งคนดีมองว่ามันคุ้มค่ากว่า เพราะถ้าเราไปซื้อ Starry 4 ธรรมดาแล้วซื้อของแต่งที่แถมมาก็จะราคาสูงกว่าเราซื้อแบบ Blind Box ส่วนสีนั้น XMAX Starry มีทั้งหมด 3 สีนะ คือ ดำ น้ำเงิน และเขียว แต่ตัว V3 Pro จะมีมา 4 สี คือสี ดำ ฟ้า ม่วง และเงิน ซึ่งอดีตเคยยมีสีเขียวแต่เลิกผลิตไปแล้ว

 

จบแล้วว สำหรับการเปรียบเทียบระหว่าง XMAX V3 Pro และ XMAX Starry 4 แต่หากยังมีข้อสงสัยตรงไหนก็ถามเราเข้ามาในอินบ๊อกหรือช่องทางติดต่อเราด้านล่างนี่หน้า สุดท้าย อย่าลืม อย่าลืม ฝากกดซับสไครบ์ด้วยน่ะจะและเรามีโปรมาแจกสมาชิกชาวยูทูปอย่างแน่นอนนน หากคลิปหน้าสนใจให้คนดีรีวิวอันไหน ก็คอมเมนต์กันมาดด้านล่างได้นะจ้า บัยยย